วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

การขยายพันธุ์ยาง


     

           ยางพาราสามารถทำการขยายพันธุ์ได้หลายวิธี เช่น การขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด ใช้วิธีการติดตาเขียว ติดตาสีน้ำตาล เป็นต้น เฉพาะการขยายด้วยเมล็ด ปัจจุบันประเทศไทยเราไม่นิยมการขยายพันธุ์กันด้วยวิธีนี้ ทั้งนี้เพราะประเทศไทยไม่มีสวนเก็บเมล็ดโดยตรงประการหนึ่ง และอีกประการคือเมล็ดยางที่นำไปปลูกมีการกลายพันธุ์มาก แต่การใช้เมล็ดขยายพันธุ์ มักจะนำไปใช้เพาะต้นกล้าเพื่อใช้ทำเป็นต้นตอสำหรับติดตาต่อไป
           ส่วนการขยายพันธุ์โดยวิธีการติดตา จะแบ่งออกเป็นการติดตาเขียว และการติดตาสีน้ำตาล แต่ส่วนใหญ่นิยมติดตาเขียวมากกว่า เพราะทำได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว มีเปอร์เซ็นต์การติดสูงมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งการขยายพันธุ์วิธีดังกล่าวมีวิธีการดำเนินงาน 3 ขั้นตอนคือ           
ส่วนการขยายพันธุ์โดยวิธีการติดตา จะแบ่งออกเป็นการติดตาเขียว และการติดตาสีน้ำตาล แต่ส่วนใหญ่นิยมติดตาเขียวมากกว่า เพราะทำได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว มีเปอร์เซ็นต์การติดสูงมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งการขยายพันธุ์วิธีดังกล่าวมีวิธีการดำเนินงาน 3 ขั้นตอนคือ
 

การสร้างแปลงกล้ายาง           วัสดุที่จะใช้ปลูกทำแปลงกล้ายาง อาจใช้วัตถุปลูกได้ 3 ชนิด คือ เมล็ดสด เมล็ดงอก และต้นกล้า 2 ใบ ในการศึกษาควรเลือกใช้วัสดุปลูกทำแปลงกล้ายางนั้น การใช้เมล็ดสดจะดีที่สุดเนื่องจากต้นกล้ายางที่ได้โตเร็วและแข็งแรงมีระบบรากดีเป็นการประหยัดงานและเวลา ส่วนการปลูกด้วยต้นกล้า 2 ใบ นั้นปรากฏว่าต้นกล้าจะตาย เป็นจำนวนมาก และมากกว่าปลูกด้วยเมล็ดถึง 2 เท่า ในช่วงระยะเวลา 6 เดือน กล้ายาง 2 ใบจึงควรใช้กรณีที่หาเมล็ดไม่ได้เท่านั้น สำหรับขั้นตอนและวิธีปฏิบัติในการสร้างแปลงและวิธีการปลูกตลอดจนการดูแลรักษามีขั้นตอนดังต่อไปนี้           
1. การเลือกพื้นที่ ควรเลือกสภาพพื้นที่ราบ ดินร่วนมีความอุดมสมบูรณ์สูง มีการระบายน้ำดี อยู่ใกล้แหล่งน้ำและการคมนาคมสะดวก           
2. การเตรียมดิน ควรไถพลิกดิน 2 ครั้ง หลังจากนั้นทำการไถพรวนอีก 1-2 ครั้ง แล้วแต่ความเหมาะสมเพื่อให้พื้นที่เรียบสม่ำเสมอ และในขณะเดียวกันควรเก็บเศษวัชพืชออกจากแปลงปลูกให้หมดในการไถพรวนครั้งสุดท้าย ควรหว่านปุ๋ยร็อคฟอสเฟต 100 กิโลกรัม และแมกนีเซียมไลปัสโตน 40 กิโลกรัมต่อพื้นที่ 1 ไร่ ทั้งนี้เนื่องจากดินในประเทศไทย ถ้าปลูกกล้ายางหลาย ๆ ครั้ง ซ้ำกันในที่เดียวกัน กล้ายางมักจะแสดงอาการขาดธาตุแมกนีเซียม ส่วนแผ่นใบตรงกลางระหว่างเส้นใบจะมีสีซีดเหลืองหรือขาว โดยจะแสดงอาการหลังจากยางงอกแล้วประมาณ 2-3 เดือน ฉะนั้นการใส่แมกนีเซียมไลมัสโตน จึงมีความจำเป็นมาก โดยเฉพาะในแปลงกล่าที่เกิดอาการขาดธาตุแมกนีเซียมแล้วก่อนจะทำใหม่ต้องใส่แมกนีเซียมก่อนทุกครั้ง          
3. การวางแผนผังแปลงกล้า แปลงกล้ายางแต่ละแปลงย่อยไม่ควรมีพื้นที่เกิน 1 ไร่ หากเป็นการให้น้ำแบบระบบสปริงเกลอร์ควรจัดขนาดแปลงเข้ากับระบบน้ำ และรอบแปลงควรวางแนวขุดคูระบายน้ำ และหากเป็นพื้นที่ลาด ควรวางแถวปลูกขวางแนวลาดชัน และควรยกร่องปลูกเป็นแถวคู่ เพื่อป้องกันน้ำชะเมล็ด          
4. วิธีการปลูก มีอยู่ 3 วิธีคือ                  การปลูกด้วยเมล็ดสด เริ่มตั้งแต่การวางแนวปลูกโดยปักไม้ชะมบไว้ที่หัวและท้ายแปลง ระยะ 30x60 เซนติเมตร เป็นแนวยาวแล้วขึงเชือกระหว่างไม้ชะมบกับหัวท้ายแปลง ซึ่งจะเป็นแนวสำหรับเรียงเมล็ดสด จากนั้นใช้จอบลากเป็นร่องลึกประมาณ 5 เซนติเมตร ตามแนวเชือกแล้วนำเมล็ดสดวางเรียงจำนวนเมล็ดที่เรียงขึ้นอยู่กับความงอกของเมล็ด ถ้ามีเปอรืเซ็นต์ความงอกสูงให้เรียงเมล็ดห่างปกติในช่วงระยะ 1 เมตร จะวางเรียงประมาณ 18-24 เมล็ด ในการเรียงให้ด้านแบนของเมล็ดคว่ำลงแล้วกลบดิน ซึ่งจะใช้เมล็ดประมาณ 300 กิโลกรัมต่อไร่                  
การปลูกด้วยเมล็ดงอก เริ่มตั้งแต่การเพาะเมล็ดยางในแปลงเพาะเมล็ด โดยยกร่องกว่าง 1 เมตร 20 เซนติเมตร ความยาวตามต้องการใช้ทรายหรือขี้เลื่อยเก่า ๆ กลบบนแปลงเพาะแล้วเกลี่ยให้เรียบ รดน้ำให้ชุ่ม หลังจากนั้นอีก 1 อาทิตย์ก็จะงอก เก็บเมล็ดที่งอกไปปลูกได้ทุกวัน (ส่วนเมล็ดที่งอกหลังจาก 15 วัน คัดทิ้งหมดเพราะจะได้ต้นกล้ายางที่ไม่แข็งแรง) วิธีการปลูกโดยวางแนวปักไม้ชะมบที่หัวและท้ายแปลงที่ระยะ 30x60 เซนติเมตร แล้วขึงเชือกทำเครื่องหมายระยะต้นทุกระยะ 25 เซนติเมตร นำเมล็ดมาปลูกโดยใช้ไม้เสี้ยมปลายแหลมเจาะดินให้เป็นหลุมลึกประมาณ 3 เซนติเมตร ตรงตำแหน่งหลุมปลูก แล้ววางเมล็ดงอกให้ทางด้านแบนของเมล็ดคว่ำลง หรือทางปลายรากลงแล้วกลบดินพอมิด                  
การปลูกด้วยกล้ายาง 2 ใบ ขั้นตอนการปลูก โดยจัดวางแนวปักไม้ชะบบไว้ที่หัวแถวที่ระยะ 30x60 เซนติเมตร แล้วขึงเชือกซึ่งได้ทำเครื่องหมายระยะต้นไว้แล้วทุกระยะ 25 เซนติเมตร จากนั้นใช้ไม้เสี้ยมปลายแหลมหรือเหล็กปลายแหลมเจาะดินให้เป็นหลุมพอดีกับความยาวของราก นำต้นกล้ายาง 2 ใบ เลือกต้นที่แข็งแรงใบแก่ และรากไม่คดงอ ตัดรากให้เหลือประมาณ 20 เซนติเมตร และตัดใบออกหมดเพื่อลดการคายน้ำหลังจากที่ปลูกแล้วต้องกดดินรอบโคนต้นให้แน่น            
5. การกำจัดวัชพืช                  ครั้งที่ 1 กำจัดวัชพืชก่อนงอก โดยทำการพ่นสารเคมีก่อนและหลังการปลูกโดยใช้ไลนูรอนอัตรา 250 กรัมต่อน้ำ 80 ลิตร หรือไดยูรอน อัตรา 120 กรัมต่อน้ำ 50 ลิตรต่อไร่                 
 ครั้งที่ 2 หลังปลูก 6-8 สัปดาห์ ถากวัชพืชออกให้หมด พ่นตามด้วยไดยูรอนอัตรา 120 กรัมต่อน้ำ 50 ลิตรต่อไร่                 
 ครั้งที่ 3 เมื่อต้นยางอายุ 4 เดือน ถากวัชพืชออกให้หมดพ่นตามด้วยไดยูรอนอัตรา 120 กรัมต่อน้ำ 50 ลิตรต่อไร่                  
ครั้งที่ 4 ต้นฤดูฝนในระยะติดตา ใช้พาราควัท อัตรา 6,000 กรัมต่อน้ำ 50-60 ลิตรต่อไร่             
6. การใส่ปุ๋ย เมื่อต้นกล้ายางตั้งตัวได้ควรใส่ปู่ยเป็นระยะเพื่อให้ได้ต้นกล้าที่แข็งแรงและสมบูรณ์ติดตาได้เร็ว ปุ๋ยที่ใช้สำหรับต้นกล้ายางควรเป็นดังนี้                   
สำหรับดินร่วนปนทราย ใช้ปุ๋ยสูตร 3(16-8-14) สำหรับดินร่วนปนเหนียวใช้ปุ๋ยสูตร 1(18-10-6) ระยะเวลาในการใส่โดยแบ่งใส่เป็น 4 ครั้ง คือเมื่อยางอายุ 1 เดือน 2 เดือน 3 เดือน และก่อนติดตา 1 เดือน โดยใช้อัตรา 36 กิโลกรัมต่อไร่ หรือประมาณ 15 กรัมต่อช่วงระยะ 1 เมตร ในแถวคู่ ส่วนวิธีการใส่ การใส่ใน 2 ครั้งแรกโดยวิธีหว่านปุ๋ยเป็นแถบกว้างประมาณ 8 เซนติเมตร ในระหว่างแถวคู่ แล้วคราดกลบเพื่อให้ปุ๋ยคลุกเข้ากับดิน และการใส่ในครั้งต่อไปควรใช้วิธีการหว่านให้ทั่วแปลงโดยระวังไม่ให้ถูกใบอ่อนกล้ายาง 
การสร้างแปลงกิ่งตา   ปัจจุบันนิยมการทำแปลงผลิตกิ่งตาเขียวมากกว่าสีน้ำตาล เพราะประหยัดต้นทุน และทำได้สะดวกรวดเร็ว การเลี้ยงกิ่งตาสีเขียวจะใช้วิธีเลี้ยงกระโดงประมาณ 3-4 ฉัตร ตัดยอดกระโดงให้แตกกิ่งแขนงตาเขียวออกมาประมาณ 1 ฉัตร ก็สามารถตัดไปใช้ติดตาได้ ถ้ายังไม่ต้องการใช้ตาอาจจะปล่อยไว้เป็น 2 ฉัตรก็ได้ แต่ไม่ควรเกิน 3 ฉัตร เพราะจะทำให้ลอกแผ่นตาได้ยาก อีกวิธีหนึ่งคือการตัดกระโดงตาเขียวและเขียวปนน้ำตาลไปใช้ได้เลย แต่จะได้ตาน้อยจะต้องใช้เวลาเสียบกิ่งนานกว่า              
ต้นกิ่งตาที่สมบูรณ์ตั้งแต่ปีที่ 4 ขึ้นไป จะเลี้ยงได้ 4 กระโดง ๆ ละ 4-5 กิ่ง และจะได้กิ่งตาเขียวต้นละ 16-20 กิ่ง สามารถเลี้ยงได้ 3 รอบต่อไป ปีหนึ่ง ๆ จะได้กิ่งตาเขียวประมาณ 48-60 กิ่งต่อต้น และในกิ่งตาเขียวที่ยาวประมาณ 1 ฟุต ท่อนหนึ่ง ๆ จะได้ตาประมาณ 2-3 ตา สำหรับวิธีกากรปฏิบัติการปลูกสร้างแปลงกิ่งตายางควรปฏิบัติตามขั้นตอนดังนี้              
1. การเลือกพื้นที่ ควรเป็นพื้นที่ราบ ดินร่วนมีความอุดมสมบูรณ์ดี ระบายน้ำได้ดีอยู่ใกล้แหล่งน้ำและไม่มีไม้ยืนต้นอื่นปะปน             
 2. การเตรียมพื้นที่ปลูก พื้นที่ปลูกจะต้องทำการไถพรวน และใส่ปุ๋ยโดยจะปฏิบัติเช่นเดียวกับการเตรียมพื้นที่ทำแปลงเพาะกล้ายาง จากนั้นวางผังแปลงโดยกำหนดพันธุ์ยางที่จะปลูกปริมาณของแต่ละพันธุ์โดยแบ่งแปลงกิ่งตาออกเป็นแปลงย่อย เว้นระยะห่างให้เห็นชัดเจนเช่น ระยะปลูกในแต่ละแปลง 1x2 เมตร ระยะห่างระหว่างแปลงควรเป็น 3 เมตร เป็นต้น             
 3. ระยะปลูก การปลูกสร้างแปลงกิ่งตายางเพื่อผลิตกิ่งตาเขียวใช้ระยะปลูกดังนี้1 x 2 เมตร = 800 ต้นต่อไร่                    1.25 x 1.50 เมตร = 853 ต้นต่อไร่      
1.50 x 1.50 เมตร = 711 ต้นต่อไร่          1.25 x 1.25 เมตร = 1,024 ต้นต่อไร่                 
ระยะปลูกที่นิยมกันมากคือ 1x2 เมตร เพราะได้กิ่งตาที่สมบูรณ์ และสะดวกในการปฏิบัติดูแลรักษา ส่วนระยะ 1.25x1.25 เมตร เคยนิยมกัน ปัจจุบันเลิกไปเพราะการเลี้ยงกิ่งตาเขียวจะเบียดกันแน่นมากเมื่อกิ่งตาเขียวได้ 2 ฉัตรขึ้นไป กิ่งตาที่อยู่ด้านล่างจะลอกไม่ค่อยออก ส่วนการผลิตกิ่งตาสีน้ำตาลหรือกิ่งกระโดงเขียวปนน้ำตาลใช้ระยะปลูก 1x1 เมตร 1,600 ต้นต่อไร่ สำหรับการปลูกหลังจากปักไม้ชะมบกหนดระยะปลูกแล้วก็จะขุดหลุมข้างไม้ชะมบด้านใดด้านหนึ่ง เมื่อปลูกจะได้ต้นยางเป็นแถวเดียวกัน ซึ่งมีวิธีการปลูกอยู่ 3 วิธีคือ ปลูกเมล็ดในหลุมแล้วติดตาในแปลง ปลูกด้วยต้นตอตายางและปลูกด้วยต้นยางชำถุง               
4. การดูแลรักษา การใส่ปุ๋ยในช่วงแรกจะใช้ปุ๋ยหินฟอสเฟต 25 เปอร์เซ็นต์ 25 กรัมต่อหลุม ผสมกับดินใส่รองก้นหลุม ส่วนการใส่ปุ๋ยในแปลงกิ่งตาควรใช้ปุ๋ยยางอ่อนสูตร 1 สำหรับดินเหนียว หรือสูตร 3 สำหรับดินร่วนหรืออาจใช้ปุ๋ย 15-15-6-4 หรือ 15-15-15 แทน แบ่งใส่ 4 ครั้งต่อปี ครั้งละ 36 กิโลกรัมต่อไร่ โดยวิธีหว่านรอบโคนต้น               
5. การตัดแต่งเพื่อเลี้ยงกิ่งตายาง หลังจากปลูกจนต้นยางสูงจากพื้นประมาณ 1 เมตร หรือต้นมีเปลือกสีน้ำตาล หรือมีอายุประมาณ 1 ปี จะตัดกิ่งตาทั้งกระโดงไปใช้ได้เลย แต่ถ้าจะเลี้ยงเป็นกิ่งตาเขียว ให้ตัดยอดฉัตรบนสุดทิ้ง (ตัดเลี้ยงครั้งที่ 1) จากนั้นปล่อยให้แตกกิ่งแขนงออกมาบริเวณฉัตรยอดเลี้ยงไว้ 3-4 กิ่ง เมื่อฉัตรแก่แล้วก็ตัดไปใช้ได้พร้อมกันนี้ก็ทำการตัดเลี้ยงครั้งที่ 2 ในปีหนึ่ง ๆ จะตัดเลี้ยงกิ่งตาได้ 3 ครั้ง เมื่อหมดฤดูกาลติดตาแล้วจะตัดต้นล้างแปลง โดยให้เหลือกระโดง 1-2 กระโดง สูงจากพื้นดิน 75 เซนติเมตร เพื่อเลี้ยงกิ่งกระโดงไว้ผลิตกิ่งตาเขียวในปีที่ 2 เมื่อเลี้ยงกิ่งกระโดงได้ 3-4 ฉัตร ก็ทำเหมือนกับปีที่ 1 อีก และเมื่อเข้าปีที่ 3 ต้นกิ่งตาจะเลี้ยงกิ่งกระโดง และในปีที่ 4 เลี้ยงได้ถึง 4 กระโดง 
วิธีการติดตาเขียวการติดตาเขียวจะได้ผลสำเร็จสูงหรือไม่ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ที่สำคัญ ได้แก่                
1. ต้นกล้ายาง ต้องสมบูรณ์แข็งแรง อายุประมาณ 4 1/2-8 เดือน ขนาดของลำต้นมีเส้นผ่าศูนย์กลางไม่น้อยกว่า 1 เซนติเมตร วัดที่ระดับสูงจากพื้นดิน 10 เซนติเมตร มีลำต้นตั้งตรง โคนรากไม่คดงอและลอกเปลือกได้ง่าย                
2. กิ่งตาเขียว ได้จากแปลงกิ่งตายาง ซึ่งได้รับการตรวจสอบแล้วว่าเป็นพันธุ์ยางที่ถูกต้อง กิ่งตาเขียวที่สมบูรณ์มีอายุ 42-49 วัน ลอกเปลือกง่ายไม่เปราะหรือมีเสี้ยนติดเนื้อไม้               
 3. ความชำนาญ วิธีการติดตาเขียวฝึกได้ง่ายผู้ที่มีความชำนาญแล้วจะได้รับผลสำเร็จสูงกว่าร้อยละ 90 แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ ด้วย โดยทั่วไปผู้ที่มีความชำนาญจะสามารถติดได้ประมาณ 300 ต้นต่อวัน                
4. ฤดูกาล ควรเป็นต้นฤดูฝนไปจนถึงกลางฤดูฝน ส่วนปลายฤดูฝนไม่ควรติดตา เพราะเมื่อตัดต้นให้ตาแตกจะเริ่มเข้าฤดูแล้ง ซึ่งจะทำให้ต้นยางตายได้ แต่หากติดตาแล้วถอนนำไปชำถุงพลาสติกก็สามารถทำได้ และในแปลงกล้ายางที่สามารถให้น้ำได้ตลอดก็จะสามารถติดตาได้ตลอดทั้งปี                
5. วัสดุอุปกรณ์                       
- กรรไกรตัดกิ่งตา                      
 - ถุงพลาสติกใส่กิ่งตา                       
- แถบพลาสติกใสขนาดกว้าง 5/8 นิ้ว หนา 0.05 มิลลิเมตร                       
- หินลับมีด                       
- เศษผ้าสำหรับเช็ดต้นยาง
วิธีปฏิบัติ      
1. เลือกต้นกล้าที่สมบูรณ์ ทำความสะอาดโคนต้นกล้าด้วยเศษผ้าเช็ดสิ่งสกปรกและทรายออก      
2. เปิดรอยกรีดโดยใช้ปลายมีดกรีดตามความยาวลำต้น 2 รอย ขนาดยาว 7-8 เซนติเมตร ห่างกันประมาณ 1 เซนติเมตร ให้ส่วนล่างของรอยกรีดสูงจากพื้นดินประมาณ 1-2 เซนติเมตร ใช้มีดตัดขวางรอยกรีดด้านบนให้เชื่อมกัน แล้วใช้ปลายมีดหรือด้ามงาบแคะเปลือกตรงมุมแล้วลอกเปลือกลงข้างล่างจนสุด ตัดเปลือกที่ดึงออกให้เหลือลิ้นสั้น ๆ ประมาณ 1-1 1/2 เซนติเมตร      
3. เตรียมแผ่นตาจากกิ่งตาเขียวโดยใช้มีดคม ค่อย ๆ เฉือนออก เริ่มจากด้านปลายไปหาโคนให้ติดเนื้อไม้บาง ๆ สม่ำเสมอตลอดแนวยาวประมาณ 8-9 เซนติเมตร ให้มีตาอยู่ตรงกลางแผ่น ความกว้างของแผ่นตาประมาณให้พอดีกับความกว้างของรอยแผลเปิดเปลือกบนต้นกล้า การเฉือนแผ่นตาหนาเกินไปจะลอกยาก เนื่องจากแผ่นตาเขียวช้ำได้ง่าย ฉะนั้นก่อนเฉือนแผ่นตาต้องแน่ใจว่ามีดคมและสะอาดพอ      
4. แต่งแผ่นตาทั้ง 2 ข้างบาง ๆ พอให้แผ่นตาเข้ากับรอยเปิดกรีดบนต้นตอได้แล้วตัดปลายด้านล่างออก      
5. ลอกแผ่นตาออกจากเนื้อไม้ โดยใช้นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือทั้ง 2 ข้าง จับปลายด้านบนของแผ่นตาใช้นิ้วกลางประคองแผ่นตาส่วนล่างแล้วค่อย ๆ ลอกเนื้อไม้ออกจากเปลือกแผ่นตาพยายามอย่าให้ส่วนที่เป็นเปลือกโค้งงอ หรืออีกวิธีหนึ่ง การลอกด้วยปากโดยใช้มือข้างหนึ่งจับแผ่นตาไว้ แล้วหันด้านปลายแผ่นตาที่ยังไม่ตัดเข้าหาปาก ใช้ฟันยึดส่วนที่เป็นเนื้อไม้แล้วใช้หัวแม่มือกับนิ้วชี้ของอีกมือหนึ่งจับเปลือกด้านล่างไว้ แล้วค่อย ๆ ลอกเนื้อไม้ออกจากเปลือกแผ่นตา พยายามไม่ให้เปลือกโค้งงอเช่นกัน ตรวจดูแผ่นตาที่ลอกเสร็จ ถ้าแผ่นตาซ้ำหรือจุดเยื่อเจริญหลุดหรือแหว่งไม่สมบูรณ์ให้ทิ้งไป ใช้เฉพาะแผ่นตาที่สมบูรณ์เท่านั้น     
6. รีบสอดแผ่นตาที่ลอกเนื้อไม้ออกแล้วนี้ใส่ลงในลิ้นเปลือกต้นตอเบา ๆ ขณะที่ใส่อย่าให้แผ่นตาถูกกับเนื้อไม้ เพราะจะทำให้แผ่นตาและเยื่อช้ำได้ ตัดส่วนของแผ่นตาที่เกินอยู่ข้างบนทิ้งไป หรือทิ้งไว้ตัดขณะที่พันผ้าพลาสติกก็ได้     
7. พันด้วยแผ่นพลาสติกใส ขนาดความยาวประมาณ 30 เซนติเมตร จากด้านล่างขึ้นข้างบนให้แผ่นตาแนบกับแผลรอยเปิดของต้นกล้า ให้ขอบพลาสติกทับกันสูงขึ้นไปเหนือรอยตัดตา 2-3 รอบ ผูกพลาสติกให้แน่นโดยสอดปลายเข้าไปในพลาสติกรอบสุดท้ายแล้วดึงให้แน่น     
8. ตรวจสอบความสำเร็จเรียบร้อยพร้อมทั้งปักป้ายแสดงวันที่ติด ชื่อพันธุ์ยางและจำนวนต้นไว้ หลังจากนั้นอีก 21 วัน ให้ตรวจดูหากแผ่นตายังเขียวอยู่ แสดงว่าการติดตาประสบผลสำเร็จ ให้ใช้มีดกรีดกลาสติกด้านตรงข้ามเพื่อให้พลาสติกหลุดออกจากแผ่นตา แต่ถ้าแผ่นตาเปลี่ยนเป็นสีดำหรือสีน้ำตาล แสดงว่าติดตาไม่สำเร็จให้ใช้มีดกรดพลาสติกด้านหลังออกเพื่อทำการติดตาซ้ำหลังจากตรวจผลสำเร็จและเอาพลาสติกออกแล้ว ปล่อยให้ต้นที่ติดตาอยู่ในแปลงไม่น้อยกว่า 1 อาทิตย์ก่อนที่จะถอนไปปลูกหรือตัดต้นเดิมทิ้ง
ข้อคำนึงในการติดตา       
1. ไม่ควรติดตาในเวลาที่มีอากาศร้อนจัด       
2. การนำกิ่งตาไปติดในแต่ละครั้งไม่ควรเกินกว่า 30 กิ่ง       
3. เลือกติดตาเฉพาะต้นตอที่สมบูรณ์       
4. มีดติดตาจะต้องคมอยู่เสมอ       
5. อย่าให้แผ่นตาช้ำหรือปล่อยให้น้ำเลี้ยงแห้ง       
6. พันแผ่นตาให้แน่นอย่าให้น้ำเข้าได้  


©ข้อมูลจาก®พืชไร่เศรษฐกิจ. ภาควิชาพืชไร่นา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กรมวิชาการเกษตร (http://www.doa.go.th)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น